30 January 2011
กูรูชำแหละจุดเสี่ยงไทยปี54 ระวัง "เงินเฟ้อ-ค่าบาท-วิกฤตเงินออม"
ในประเด็นเงินเฟ้อนั้น ชัดเจนว่า เป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในปี 2554 หากอ้างอิงคำแถลงนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดย "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" รายงานการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ฉบับย่อ ซึ่งมีเนื้อหาเป็นไปในทางเดียวกัน เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา
"แรงกดดันเงินเฟ้อมีมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นตามแนวโน้มราคาพลังงาน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นเช่นกัน จากการ ส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหาร" กนง.ระบุไว้ในรายงานผลการประชุม
โดยคณะกรรมการประเมินว่า แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไปมีมากขึ้นจากปัจจัยทั้งทางด้านอุปทาน (cost-push) ได้แก่ 1) ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โลก 2) การส่งผ่านจากดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ไปยังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) มากขึ้น ขณะที่ยังมีสินค้าหลายรายการที่รอทางการอนุมัติให้ขึ้นราคา และ 3) ความสามารถในการตรึงราคาของผู้ผลิตเริ่มน้อยลง ทำให้ต้องทยอยส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคมากขึ้น และปัจจัยทางด้านอุปสงค์ (demand pull) ตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ต่อเนื่องเข้าใกล้ศักยภาพ (output gap แคบลง) ประกอบกับการคาดการณ์ต้นทุนของผู้ประกอบการที่ สูงขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้การปรับเพิ่มราคาในระยะต่อไปอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความกังวลของแบงก์ชาติ สอดรับกับมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลัก ทรัพย์ฯรายหนึ่ง ที่ตั้งข้อสังเกตถึงตัวเลขเงินเฟ้อที่ทางการประกาศว่า รู้สึกแปลก ๆ ว่าต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะภาวะตอนนี้ราคาสินค้าแพงขึ้นมากแต่เงินเฟ้อขึ้น นิดเดียว จึงต้องดูว่าตัวเลขเงินเฟ้อมาได้อย่างไร เอาตัวเลขอะไรมาใส่บ้าง จากข้อมูลราคายางพารา ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ในช่วง 10 ปี ราคาทุกตัวส่วนใหญ่ขึ้นอยู่ระหว่าง 200-400% เพราะ ฉะนั้นเงินเฟ้อจะอยู่แค่นี้ได้อย่างไร ไม่สะท้อนข้อเท็จจริง
"เงินเฟ้อที่เห็นอยู่เชื่อว่าไม่ใช่ของจริง จากที่ดูราคาของที่แพงขึ้น ดังนั้นขึ้น ดอกเบี้ยก็สกัดไม่อยู่ นี่คือปัญหาใหญ่ของโลก เงินเฟ้อที่สูงขึ้นน่าจะมาจากการเคลื่อนย้ายเงินทุน ที่มีเม็ดเงินมากขึ้น นี่คือปัญหาของสหรัฐอเมริกาที่ก่อขึ้นมา" แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากเงินเฟ้อ ความเสี่ยงที่ยังอยู่ในความกังวลของภาคเอกชน ยังวนเวียนอยู่กับ "ค่าเงินบาท"
"พิสิฐ ลี้อาธรรม" อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สะท้อนถึงปัญหาค่าเงินบาท ระหว่างปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ภาวะเงินบาทกับเศรษฐกิจไทย" ในโอกาสครบรอบ 100 ปีตึกยาว โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยว่า เป็น จุดอ่อนของเศรษฐกิจไทยมาตลอด เมื่อใดที่เศรษฐกิจผันผวน ปัญหานี้จะปรากฏออกมา ตัวอย่างปัญหาครั้งใหญ่ที่สุดคือปี 2540 แต่ 13 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาค่าเงินบาท เพราะการอ่อนลงของค่าเงินทำให้ธุรกิจสามารถส่งออกได้
แต่เมื่อส่ง ออกได้มากไทยกลายเป็นประเทศที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัด และ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เช่นปีที่ผ่านมา แข็งค่าขึ้น 10% ซึ่งระยะต่อไปจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกที่พึ่งวัตถุดิบการผลิตใน ประเทศสูง
ยิ่งกว่านั้น ในอนาคตอันใกล้ ประเทศในเอเชียรวมถึงไทยจะไม่อยู่ในภาวะเงินอ่อนค่าอีกต่อไป และทุกครั้งที่สถานการณ์ค่าเงินเปลี่ยน จะเกิดการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ อย่างที่เคยเกิดในปี 2531-2532 โดยผู้ประกอบการไทยจะต้องมองหาฐานการผลิตที่ต้นทุนถูก จะหวังให้ทางการดูแลไม่ได้
ความเสี่ยงทั้ง 2 เรื่อง เป็นความเสี่ยงเฉพาะหน้าในปีนี้ แต่ในมุมมองของ "โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์" ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กลับเสนอแนะให้มองไปถึงประเด็นปัญหาในอนาคตใน 2 เรื่องใหญ่ ๆ ได้แก่ แรงกดดันจากการขาดแคลนแรงงานที่ปัจจุบันมี 38.7 ล้านคน และจะเพิ่ม ไม่เกิน 1.5 ล้านคนใน 5 ปีข้างหน้า ขณะที่อินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้นถึง 8.5 ล้านคน ดังนั้นประเทศไทยจะไม่ใช่เป้าหมายของบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตไปยัง ที่ที่ต้นทุนถูก ดังนั้นจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้
อีกประการหนึ่ง คือ ปัญหาการลงทุนต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งเขาเห็นว่าไทยจำเป็นต้องลงทุนมากกว่านี้ และต้องมีฐานเงินออมที่แน่น แต่ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ไทยมีการออมเพียง 15.5% ของจีดีพี เทียบกับ 24.4% ในช่วงก่อนวิกฤตปี 2540
โดยเฉพาะการออมของภาครัฐ ถือเป็นจุดอ่อนของประเทศ เพราะเหลือต่ำเพียง 4.5% ของการออมรวม ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าปกติ เทียบกับอดีตที่เคยสูงถึง 37% สาเหตุหลักมาจากรัฐบาลนำเงินออกไปกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้เป็นรายจ่ายประจำไม่ใช่การลงทุน ถ้าไม่เร่งแก้ไขจุดนี้หากต้องการจะลงทุนก็จะมาจากการกู้เท่านั้น
"การช่วยเหลือประชาชนเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องมาพร้อมกับการมีรายได้ที่สูงขึ้น เราจำเป็นต้องเปลี่ยนคือการใช้ความรู้ของธุรกิจเอกชนและการออมของภาครัฐที่ มากขึ้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนจะผ่านปีนี้ไปได้ แต่ปี 2555-2556 เราจะไม่มีอะไรหนุนหลังการเติบโตอีกต่อไป เหลือเพียงหนี้สินให้ลูกหลาน" นายโฆสิตกล่าว
วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4284 ประชาชาติธุรกิจ
โรงงานตั้งแง่นำเข้าปาล์มลอต2 บีบพาณิชย์ปรับราคาขายปลีก
การนำเข้า น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์จากประเทศมาเลเซีย ตามมติของคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ลอตแรกจำนวน 30,000 ตัน เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขวดขาดแคลนและมีราคาแพง จะทยอยเดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยในต้นสัปดาห์หน้า ท่ามกลางความกังวลของโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เมื่อเงื่อนไขในการจำหน่ายน้ำมันปาล์มลอตนี้เปลี่ยนแปลงไปจากที่ตกลงกันไว้ แต่แรก
แหล่งข่าวจากโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้เปิดประมูลซื้อน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ลอตนี้มาในราคาเฉลี่ย CIF 1,289 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือประมาณ 39.80 บาท จาก Wilmar เทรดดิ้งสิงคโปร์ ซึ่งราคานี้เป็นราคาส่งมอบ ณ ต้นทาง ยังไม่รวมค่าระวางและค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่เกิดขึ้น โดยโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่ได้รับการจัดสรรโควตานำเข้าน้ำมันปาล์ม ลอตนี้จะต้องเป็นผู้รับภาระเฉลี่ยอยู่ระหว่างตันละ 1-2 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณนำเข้าแต่ละเที่ยวเรือ
นั่นหมายความว่าต้นทุนสุทธิ ของน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ ณ ท่าเรือกรุงเทพ จะตกประมาณ 41-42 บาท/ตัน ส่งเข้าโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพื่อผลิตออกมาเป็นน้ำมันปาล์มบรรจุขวด จะมีค่าใช้จ่ายในการผลิตเกิดขึ้นอีกประมาณ 16 บาท ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร ที่แท้จริงควรจะอยู่ในระดับ 57-58 บาท แต่โรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ไม่สามารถจำหน่าย ในราคานี้ได้ เนื่องจากกรมการค้าภายในกำหนดราคาควบคุมไว้ที่ขวดละไม่เกิน 47 บาท
"เรา ขาดทุนทันทีขวดละ 9-10 บาท จากการนำเข้าน้ำมันปาล์มลอตนี้จากมาเลเซีย เข้ามาผลิตเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน แต่ก็ต้องทำเพราะโควตานำเข้า 30,000 ตัน ได้ถูกจัดสรรให้กับสมาชิกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มตามปริมาณการผลิตของแต่ละ โรงงานไปเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับกรมการค้าภายในขอความร่วมมือเชิงบังคับให้โรงงานต้องรับผิดชอบ ปัญหาที่เกิดขึ้น" โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์รายหนึ่งกล่าว
ทั้ง นี้มีข้อสังเกตว่าหากนำน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศที่ราคาจำหน่ายในขณะนี้ อยู่ที่ 60-65 บาท/ก.ก. มาผลิตเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เมื่อรวมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว โรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์จะต้องจำหน่ายในราคา 76-81 บาท/ขวดขนาด 1 ลิตร หรือขาดทุนทันทีขวดละ 29-34 บาท "มากกว่า" การนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์จากมาเลเซียมาผลิต
ปัญหาก็คือทั้ง ๆ ที่รู้ว่าขาดทุน ทำไมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ยอมนำเข้าน้ำมันปาล์มจากมาเลเซียมาผลิต แหล่งข่าวจากโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เปิดเผยเบื้องหลังข้อตกลงระหว่าง โรงงานกับกรมการค้าภายในว่า ช่วงแรกทุกโรงกลั่นคิดว่าการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ลอตนี้ เมื่อผลิตเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์แล้วสามารถแบ่งจำหน่ายให้กับอุตสาหกรรม ที่ใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เป็นวัตถุดิบได้ ซึ่งทุกโรงรู้ดีว่ากรมการค้าภายในไม่ได้เข้ามาควบคุมราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์ม ให้กับอุตสาหกรรม
"เราสามารถทำราคาขึ้นไปได้มากกว่า ก.ก.ละ 80 บาท ซึ่งราคานี้ทุก โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสินค้ายินดี รับซื้อ ขอให้มีของ แต่ปรากฏว่าพอแต่ละรายทำสัญญาเข้าจริง กลับได้รับแจ้งจากกรมการค้าภายในว่า น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ที่นำเข้ามาลอตนี้จะต้องใช้ผลิตเป็นน้ำมันปาล์ม บริสุทธิ์บรรจุขวดขายให้กับผู้บริโภคเท่านั้น ห้ามจำหน่ายให้กับอุตสาหกรรม โดยกรมการค้าภายในจะเข้าไปตรวจสอบปริมาณการผลิต-จำหน่ายแต่ละโรงงาน สังเกตได้จากน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ขวดลอตนี้จะมีฝาขวดสีฟ้า ซึ่งหมายถึงสินค้าธงฟ้านั่นเอง"
เมื่อเงื่อนไขในการนำเข้าเพื่อผลิต จำหน่ายน้ำมันปาล์มเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ ทางกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ได้มีการหารือเป็นการภายในถึงการนำ เข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ลอตที่สองอีก 100,000 ตัน บางโรงงานอาจจะผลิตน้อยลงเพราะเห็น ๆ กันว่า ทุก โรงกลั่นขาดทุนขวดละ 9-10 บาท วิธีที่เป็นไปได้ก็คือ 1)หากนำเข้ามาผลิตเพื่อผู้บริโภคอย่างเดียว กรมการค้าภายในจะต้องยอมให้มีการปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากขวดละ 47 บาทที่ขายอยู่ในปัจจุบัน กับ 2)ยอมให้มีการจำหน่ายน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่นำเข้ามาลอตใหม่เพื่อ อุตสาหกรรม
"แน่นอนว่าการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ลอตใหม่อีก 100,000 ตัน อคส.อาจจะซื้อไม่ได้ในราคาเดิม เพราะมาเลเซียรู้แล้วว่าไทยกำลังขาดแคลนปาล์มอย่างหนัก ประกอบกับมาเลเซียเองก็เริ่มมีปัญหาการขาดแคลนปาล์มขึ้นมาแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ว่าราคาน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์จะถูกปรับขึ้น มาถึงตรงนี้ทุกโรงกลั่นก็ต้องบริหารจัดการกันเอาเอง รอจนกว่าผลผลิตปาล์มฤดูใหม่จะออกมาในเดือนมีนาคม" แหล่งข่าวกล่าว
ด้าน นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ในวันที่ 31 มกราคมนี้จะเริ่มกระจายน้ำมันปาล์มบรรจุขวดที่ได้จากการนำเข้าน้ำมันปาล์ม กึ่งบริสุทธิ์ลอตแรกจากมาเลเซีย 30,000 ตัน ไปยังศูนย์กระจายสินค้า (DC) ของแต่ละแบรนด์ หลังจากนั้นจึงจะแบ่งจัดสรรสัดส่วน 60% กระจายไปยังห้างโมเดิร์นเทรด และอีก 40% กระจายไปยังตลาดสด
"ในวัน ที่ 1 ก.พ.จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ อคส.นำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นอีก 100,000 ตัน โดยลอตนี้อาจจะแบ่งจัดสรรให้กับอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ด้วย อาทิ มาม่า แต่หากหลังจากผลผลิตปาล์มที่จะออกมาช่วงกลางปียังไม่เพียงพออีก ก็จะมีการพิจารณาเรื่องการนำเข้าใหม่อีกครั้ง" นางวัชรีกล่าว
จากการ สำรวจตลาดหลายแห่งล่าสุดพบว่า น้ำมันปาล์มบรรจุขวด 1 ลิตร ไม่สามารถหาซื้อได้ ขนาดบรรจุถุง 1 ลิตร มีของแต่ขายในราคา 60-62 บาท ส่วนขนาดบรรจุปี๊บขายกันถึง 900-1,000 บาท
วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4284 ประชาชาติธุรกิจ
เงินหยวนแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาสินค้ามีแต่พุ่ง
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์จาก IMF (International Monetary Fund) ให้ความเห็นว่า การแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงินหยวนมีประโยชน์ต่อทั้งจีนและประเทศ อื่นๆ และการขยายอุปสงค์ภายในประเทศของจีนก็เป็นนโยบายที่สอดคล้องกับแนวโน้มการ พัฒนาเศรษฐกิจของโลก IMF คาดการณ์ว่า ในอนาคต เงินหยวนยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นด้วยอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อ เนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เงินหยวนแข็งค่าขึ้น ภาวะเงินเฟ้อของจีนก็รุนแรงขึ้นพร้อมกัน ตามข้อมูลสถิติระบุว่า ในเดือนพ.ย. 2553 ที่ผ่านมา CPI ของจีนพุ่งสูงขึ้นร้อยละ 5.2 และปีนี้อาจจะมีการเพิ่มสูงขึ้นต่อไป แม้ว่าประเทศทั่วโลกส่งแรงกดดันให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หากจีนไม่เร่งนโยบายการเงินที่รัดตัว แนวโน้มการพุ่งสูงขึ้นของราคาสินค้าอาจจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 17:25:25 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
28 January 2011
Facebook Overvalued at $50 Billion in Global Poll of Investors
Facebook Inc. isn’t worth $50 billion, according to a poll of global investors that shows skepticism about Goldman Sachs Group Inc.’s recent estimate of the largest social-networking site’s value and concern that a bubble may be forming in the technology sector.
Sixty-nine percent of investors say Facebook is overvalued after Goldman Sachs invested $450 million in a deal that put the company’s worth at $50 billion, according to the quarterly poll of 1,000 Bloomberg customers who are investors, traders or analysts. Only 10 percent of respondents say Facebook’s valuation is appropriate; 4 percent say it’s worth more.
The Bloomberg Global Poll conducted Jan. 21-24 shows that investors disagree with Goldman Sachs’ assessment that Facebook is worth more than Web pioneers such as Yahoo! Inc., the biggest web portal, and eBay Inc., owner of the biggest online retail marketplace. Palo Alto, California-based Facebook surpassed Yahoo! in October as the third most visited website in the world.
“Those investing in Facebook, expecting it to be the next Google, might be in for some bad news along the way,” says poll respondent John J. Lee, a portfolio manager at PGB Trust & Investments in Morristown, New Jersey. Mountain View, California-based Google went public in August 2004 and the shares more than tripled in the first year to $279.99 from $85. The stock price averaged $617.2 this month.
‘Cheaper Copycat Lookalikes’
“Eventually, all fads get cheaper copycat lookalikes,” he says. “While being first to market makes Facebook a winner, another faster, stronger company with more something will come along and dilute its value.” Lee says his firm owns Google shares in some portfolios.
Facebook raised $1.5 billion in a Goldman Sachs-led financing round this month. In addition to Goldman Sachs’ $450 million investment, Russia-based Digital Sky Technologies put up $50 million and Goldman Sachs clients outside the U.S. snapped up a $1 billion stake in the company. Goldman Sachs, which retained the right to sell $75 million of its stake to Digital Sky, had originally offered Facebook shares to its U.S. clients in a private placement. That was called off after details became public because the offering risked running afoul of U.S. securities laws.
Stephen Cohen, a spokesman for New York-based Goldman Sachs, declined to comment. A Facebook spokesman, Jonathan Thaw, declined to discuss the valuation. “We’re focused on creating a useful service and building our business for the long term,” he said in an e-mailed statement.
‘Dangerous New Bubble’
The Bloomberg poll shows that the Facebook deal has made investors uneasy about internet companies in general. More than half the respondents say the firm’s valuation signals the “beginning of a dangerous new bubble” in the market, while only 17 percent saw it as the foundation of a lasting boom.
“More than a bubble, Facebook is a manifestation of the rational excesses that only the financial markets are capable of when confronted with something without precedents and more importantly unexpected,” said Luigi La Ferla, co-founder of LTP Trade Ltd. in London. ‘
Investors worldwide have doubts about the Facebook deal, and those outside the U.S. were most pessimistic. Seventy-two percent of non-U.S. respondents say the company was overvalued. Among U.S. investors that number is 63 percent.
“There’s too little financial information and track history to value the company like this,” says La Ferla. ‘Besides, you do not want to buy any of Goldman’s proprietary positions that they’re willing to sell.”
China’s Tencent
The $50 billion valuation puts Facebook in league with publicly traded Tencent Holdings Ltd. The Shenzhen, China-based internet company, whose services include online games and instant messaging, is worth more than $42 billion on the Hong Kong stock exchange. Tencent trades at about 15 times revenue. The Facebook valuation is about 25 times its 2010 revenue. Google’s price-to-sales ratio is 9, analysts estimate. EBay’s market value is $40.5 billion and Yahoo!’s is $21.2 billion.
LinkedIn Corp., a Mountain View, California-based professional networking firm, filed yesterday with the Securities and Exchange Commission to raise as much as much as $175 million in an initial public offering. The company is valued at $2.5 billion on SharesPost Inc., a San Bruno, California-based online marketplace for trading shares in private companies.
‘Lasting Boom’
Among European investors in the poll, 56 percent say the Facebook deal signals a bubble among online firms, while less than half of U.S.-based respondents agree. About a quarter of Asian investors see the deal as the start of a new boom in online companies, while overall 17 percent of those polled are positive.
“The current uptrend in e-commerce companies is a lasting boom, with or without Facebook,” says poll respondent Henry Littig, owner of Henry Littig Global Investments AG in Cologne, Germany.
In 2008, Mark Zuckerberg, Facebook’s founder and chief executive officer, became the world’s youngest billionaire at 23 when Forbes Magazine listed his wealth at $1.5 billion. The magazine now says his net worth has reached $6.9 billion. Zuckerberg is the central character in the hit movie “The Social Network,” about the founding of Facebook, which was nominated for eight Academy Awards this month.
500 Million Members
Facebook’s social network has more than 500 million members and trails only Google and Microsoft Corp. as the world’s most visited website, according to ComScore Inc.
The company had revenue of $1.2 billion in the first three quarters of last year, up from $777 million, according to a person who had viewed documents sent to potential investors by Goldman Sachs. The company reported profit of $355 million in the first three quarters of last year, compared with profit of more than $200 million for all of 2009.
The poll was conducted by Des Moines, Iowa-based Selzer & Co. for Bloomberg and has a margin of error of plus or minus 3.1 percentage points.
To contact the reporter on this story: Alison Fitzgerald in Washington at Afitzgerald2@bloomberg.net.
To contact the editor responsible for this story: Mark Silva in Washington at msilva34@bloomberg.net.
Japan Recovery Starting as Deflation Eases, Jobless Rate Slides
Japan’s deflation eased in December and the job market strengthened, supporting the central bank’s view that the economy may pick up this quarter.
Consumer prices excluding fresh food declined 0.4 percent from a year earlier, the statistics bureau said today in Tokyo, the smallest drop since 2009. The unemployment rate unexpectedly fell to 4.9 percent from 5.1 percent, the first decrease since September.
Bank of Japan Governor Masaaki Shirakawa this week said the economy will emerge from its slump “soon” and that deflationary pressures are easing as overseas demand bolsters the nation’s economy. Higher growth could push bond yields higher just as concerns about credit are undermining demand for government debt.
“The economy’s pretty much past its temporary slump,” said Noriaki Matsuoka, an economist at Daiwa Asset Management Co. in Tokyo. “There’s a risk that bond yields could rise on concern about Japan’s fiscal position” if Prime Minister Naoto Kan has trouble passing the budget, he said.
Standard & Poor’s yesterday lowered Japan’s rating to AA-, the fourth-highest level, citing persistent deflation and the government’s lack of a “coherent strategy” to address the nation’s debt burden. Kan, whose approval rating has halved since he took office last year, needs to push his budget through an opposition controlled upper house before the fiscal year starting April 1.
Data Beat Forecasts
The yen traded at 82.75 per dollar at 11:17 a.m. in Tokyo from 82.90 before the reports were published. The yield on the benchmark 10-year government debt fell to 1.215 percent. It touched 1.26 percent in Jan. 19, the highest since Dec. 16.
BOJ policy board members said moves in long-term interest rates “needed to be examined carefully,” because rate swings affect funding costs of companies and households and profits of financial institutions, according to the minutes of the BOJ board’s Dec 20-21 meeting released today.
The Japanese data beat the median analysts’ forecasts for a 0.5 percent drop in consumer prices and an unemployment rate of 5.1 percent.
Signs of improvement bode well for an economy that analysts forecast shrank at a 0.75 percent annual pace in the fourth quarter. Economists surveyed by Bloomberg News see growth accelerating in each quarter this year. Shirakawa signaled this week that the rebound could begin as soon as the first three months of 2011.
‘Recovery Path’
“The economy will probably emerge from its slump soon and return to a moderate recovery path, although I cannot say for sure whether it will happen in the first quarter,” Shirakawa said. “What’s important is that we can foresee a path leading toward deflation’s end, in which price declines will moderate and start rising, and we’re approaching that point.”
The central bank and government both raised their assessments of the economy this month, citing a pick-up in overseas demand and production. Exports growth accelerated for a second month in December and production rose for the first time since in six months in November.
The BOJ policy board this week forecast that consumer prices will increase 0.3 percent in the year starting April, higher than its October prediction of 0.1 percent. For the year ending March 31, prices will probably decline 0.3 percent, the bank said, slower than its prior forecast of 0.4 percent drop.
Price Increases
Seasonings maker Ajinomoto Co. and coffee maker UCC Holdings are increasing prices to protect their profit margins. UCC Holdings, based in Kobe in western Japan, this week said it will raise coffee prices in March because bean costs have increased 1.7 times from a year earlier. That “goes beyond the level our cost-cutting efforts can absorb,” it said in a statement.
Rising commodity costs are contributing to slower consumer price declines. Excluding food and energy, prices fell 0.7 percent last month, slower than the 0.9 percent drop in November.
Abundant liquidity provided by central banks around the world is one reason commodities are surging, Economic and Fiscal Policy Minister Kaoru Yosano said today. Higher costs driven by investors’ speculative trading would be “undesirable,” he said.
Hiring may pick up in coming months, today’s data suggested. There were 101 newly advertised jobs in December for every 100 people who started looking for work that month, the highest since November 2008, the Labor Ministry said today. Economists consider the figure a leading indicator of employment. The job- to-applicant ratio remained unchanged at 0.57, meaning there were 57 job openings for every 100 candidates, the Labor Ministry said today.
Sales Decline
The number of people with work increased by 190,000 from a month earlier, calculated on a seasonally adjusted basis, according to the statistics bureau.
Not all reports showed improvement, with retail sales sliding 2 percent in December from a year earlier as a scaling- back of government stimulus measures discouraged consumer spending.
The BOJ has pledged to keep the key interest rate between zero percent and 0.1 percent until it can expect stable price gains, which board members see at about 1 percent.
The bank will raise interest rates in 2013 at the earliest, ten of 15 economists surveyed by Bloomberg News last week predicted, while three said a rate increase will occur in 2012. One forecast the BOJ will wait until 2014 and one declined to make a forecast.
“Consumer price gains aren’t good news for the Japanese economy because they reduce disposable incomes unless wage growth picks up,” said Yoshimasa Maruyama, a senior economist at Itochu Corp. in Tokyo.
To contact the reporters on this story: Mayumi Otsuma in Tokyo at motsuma@bloomberg.net; Aki Ito in Tokyo at aito16@bloomberg.net
To contact the editor responsible for this story: Paul Panckhurst at ppanckhurst@bloomberg.net
www.bloomberg.comHong Kong Is World's Most Expensive Place to Buy Home
Hong Kong is the world’s most expensive place to buy a home because of a shortage of properties on the market, according to a study of the top four cities by Savills Plc.
Hong Kong is 55 percent more expensive than London, based on an index published today by the property broker that compares the U.K. capital with the other cities. Moscow is 7.4 percent more expensive than London and New York is 15 percent cheaper.
Home prices in Hong Kong have been driven higher by record- low borrowing costs, a lack of new supply and an influx of Chinese buyers, Savills said. They have jumped more than 55 percent since the beginning of 2009, according to an index compiled by Centaline Property Agency Ltd., Hong Kong’s biggest closely held broker.
“Prices will continue to rise over the next year to 18 months,” said Simon Smith, the Hong Kong-based head of Asian real estate research, at a presentation in London yesterday.
In November, Hong Kong’s government stepped up a yearlong battle to curb inflation with additional taxes and policies. Chief Executive Donald Tsang pledged to make more land available to build 20,000 housing units each year and raised property taxes to deter speculators.
Hong Kong’s “government is trying to cool the market and isn’t doing a very good job of it,” Smith said.
Savills compiled the data using estimates of what employees of a company would pay to relocate to each of the four cities. The index reflects home values for one chief executive officer, two directors and four administrative workers. It based its calculations on the price per square foot for each type of property the seven buyers would purchase.
More Expensive
An office worker would have to pay the equivalent of about 659 pounds ($1,050) a square foot for a home in Hong Kong, 76 percent more than their counterpart in London, the company estimates.
Seventy percent of the Hong Kong land releases are in the New Territories, aggravating the shortage in desirable districts like Hong Kong Island, where there are only 2,400 houses, Smith said.
Hong Kong also leads at the top end of the market, London- based Savills said. A home in The Peak, an exclusive neighborhood with only 500 houses, might sell for as much as 6,353 pounds a square foot. That’s more than double the price for a comparable property in Mayfair or Knightsbridge in London, the second most expensive city for high-end homes, the Savills survey showed.
To contact the reporter on this story: Simon Packard in London at packard@bloomberg.net.
To contact the editor responsible for this story: Andrew Blackman at ablackman@bloomberg.net.
Moody's Says Time Running Out for U.S. as S&P Cuts Japan
Moody’s Investors Service said it may need to place a “negative” outlook on the Aaa rating of U.S. debt sooner than anticipated as the country’s budget deficit widens.
The extension of tax cuts enacted under President George W. Bush, the chance that Congress won’t reduce spending and the outcome of the November elections have increased Moody’s uncertainty over the willingness and ability of the U.S. to reduce its debt, the credit-ratings company said yesterday.
“Although no rating action is contemplated at this time, the time frame for possible future actions appears to be shortening, and the probability of assigning a negative outlook in the coming two years is rising,” wrote Steven Hess, a senior credit officer in New York and the author of the report. The rating remains “stable,” according to the report.
The warning from Moody’s came on the same day that Standard & Poor’s lowered Japan to AA- from AA, signaling that the ratings firms are stepping up pressure on the governments of the world’s biggest economies to curb their spending. The threat of a lower rating may cause international investors to avoid U.S. assets. About 50 percent of the almost $9 trillion of U.S. marketable debt is owned by investors outside the nation, according to the Treasury Department in Washington.
U.S. debt has increased from about $4.34 trillion in mid-2007 as the government increased spending to bail out the financial system and bring the economy out of recession. The budget deficit has increased to 8.8 percent of the economy from 1 percent in 2007.
‘Trajectory Is Worse’
“Because of the financial crisis and events following the financial crisis, the trajectory is worse than it was before,” Hess said in a telephone interview.
Moody’s said it expects there will be “constructive efforts” to reduce the deficit and control entitlement spending. It predicted 10-year Treasury yields will rise toward 5 percent without surpassing that level.
Yields on the benchmark securities were little changed at 3.39 percent today as of 11:22 a.m. in Tokyo, according to BGCantor Market Data. The 2.625 percent security maturing in November 2020 traded at 93 22/32. Demand for U.S. debt has pushed the yield down from 5.27 percent a decade ago.
The U.S. Dollar Index, which tracks the currency against six counterparts, climbed to 77.833 today from a low during the global financial crisis of 70.698 on March 17, 2008, as the U.S. economy recovered.
‘Remote’ Downgrade Odds
The odds of a U.S. ratings cut are remote, said Hiromasa Nakamura, a senior investor in Tokyo at Mizuho Asset Management Co., which has the equivalent of $42.2 billion in assets and is part of Japan’s second-largest publicly traded bank.
“I don’t think the U.S. will be downgraded,” Nakamura said. “The U.S. may try to cut spending. Those kinds of policies will support the rating.” Mizuho Asset bought Treasuries in December, he said.
President Barack Obama’s deal with congressional Republications, announced Dec. 6, calls for a two-year extension of tax rates in return for extending long-term jobless benefits for 13 months and cutting the payroll tax for $120 billion for a year.
The U.S. has the highest government debt-to-government revenue of any Aaa rated country, Moody’s said yesterday. The ratio, at 426 percent, is more than double that of Germany, France and the U.K. and more than four times higher than Australia, Sweden and Denmark, according to Moody’s.
“Other large Aaa countries have plans to reduce deficits substantially over the coming few years, indicating that this trend may continue,” Hess said.
S&P Cuts Japan
S&P cut Japan’s credit rating for the first time in nine years, saying the government lacks a “coherent strategy” to address the nation’s 943 trillion yen ($11 trillion) debt burden.
The ratings firms also have downgraded Europe’s so-called peripheral countries on rising deficits and slumping growth.
Fitch Ratings cut Greece to BB+ on Jan. 14, following S&P and Moody’s in lowering the country to below investment grade. Moody’s began reviewing Portugal and Spain in December.
Credit-default swaps on U.S. Treasuries climbed for a fourth day yesterday, rising 1.5 basis points to 51.57 basis points, according to data provider CMA. That means it would cost the equivalent of $51,570 a year to protect $10 million of debt against default for five years.
Prices of the swaps compare with 59.8 basis points for debt issued by Germany, 83.1 for Japan, and 897.3 for Greek bonds.
Reduce Fed Borrowing
The U.S. Treasury Department said yesterday it will reduce its borrowing on behalf of the Federal Reserve to $5 billion from $200 billion because of concerns about the federal debt limit. The Obama administration and Congress are debating whether to raise the limit as the government approaches the current ceiling of $14.29 trillion, which the Treasury estimates will be reached between March 31 and May 16.
Focus on the debt ceiling, which was increased a year ago, has risen since Republicans won control of the House of Representatives in November with pledges to challenge the Obama administration on spending. Republican lawmakers have told the president and Democratic legislators that they will insist on specific cuts as a condition of raising the U.S. debt limit.
To contact the reporter on this story: Christine Richard in New York at crichard5@bloomberg.net
To contact the editor responsible for this story: Alan Goldstein at agoldstein5@bloomberg.net
www.bloomberg.comLunar New Year highlights China labor issues
CHANGPING, China (Reuters) – Among the millions crowding China's railways stations and airports in the annual Lunar New Year trek home are many workers who won't be coming back to their jobs in the workshop of the world.
At the end of a year of rising wages and labor unrest in coastal manufacturing regions, some manufacturers are pulling up stakes and moving to less costly locales in the hinterlands -- or out of China altogether.
Premium leather-goods brand Coach, Inc said this week it would gradually slash production of handbags and wallets in China and shift to lower-cost countries such as Vietnam and India.
More and more workers in the traditional manufacturing belts in the Pearl River and Yangtze River deltas will be staying back in their home villages in the countryside after the long New Year holidays. Some of them will be taking jobs with those companies moving into the interior.
"I won't come back. I want to find a factory nearer home," said He Yingkang, a worker from Jiangxi province joining the crush at the East Dongguan train station in the Pearl River Delta.
"There the environment is better and cleaner ... a lot of people I know are considering moving. Things are also too expensive here."
The seemingly endless flow of migrant workers into the booming coastal provinces -- about 150 million of them make the annual journey from the interior to the coast -- is drying up. Labor recruiters from the coast are often coming back empty-handed from trips to the hinterlands.
At the East Dongguan train station, migrant workers wheeled suitcases, hefted sacks on bamboo poles and lugged nylon bags bursting with family gifts, bought with those fatter paychecks.
"I hope, of course, my wages get higher year after year," said Fan Zhen, a 24-year-old plastics worker heading back to his village in central Henan. "I want to work hard and earn more."
While migrant workers have long clamored for better pay in China, last year may have marked a tipping point, when a series of independently organized strikes crippled production at several factories, including Toyota and Honda car plants.
Local governments in many regions responded by raising minimum wages.
This new face of the Chinese worker has unsettled the smaller, indigenous factories that make up the bulk of the workshops in the Pearl River Delta, who worry that a fresh round of wage and cost increases could put them out of business.
This month, authorities in Guangdong province announced they'd be raising minimum wages by about 20 percent in several regions of the delta, including the provincial capital of Guangzhou. The city's new base monthly salary will be 1300 yuan ($200), the highest in China, when the new wage rates take effect on March 1.
"It'll impose tremendous pressure on the manufacturing sector, especially the labor intensive industries," said Clement Chen, an honorary president of the Federation of Hong Kong Industries and a veteran industrialist in the region.
"It's not just Hong Kong firms, but Taiwanese, Korean and Japanese firms will all be facing these pressures," added Chen who expects payrolls to rise by up to 20 percent.
Rising wages are a double-edged sword for the workers, now caught in a spiral of wage-price inflation. This may also accelerate the movement of workers inland and accentuate labor market imbalances.
Many firms -- fed up with rising wages and production costs, along with labor shortages in coastal regions -- are planning to move labor-intensive production out of China, such as Coach.
Foxconn, China's biggest manufacturer with a million workers churning out gadgets including iPhones and iPads for Apple, has started to shift production inland with a few giant new factories, taking entire supply chains with them.
"The effect can be seen on labor intensive light industries such as in textiles, handbag and shoe makers as well as electronics," said William Lo, an analyst at Ample Capital. "These manufacturers may choose some cheaper cost countries such as Vietnam and India."
Higher-end industries and goods requiring advanced production techniques, swift turnaround times and sophisticated supply chains, however, are likely to remain in China for now, Lo said.
Rapid urbanization and economic development in China's interior has helped drive up wages and reduced the incentives for workers to uproot and seek work in coastal factory hubs.
"The migrant workers now certainly have a greater number of options than they did, say, just a couple of years ago," said Geoffrey Crothall of China Labor Bulletin. "Southern China and Guangdong are no longer the only show in town."
Some recruitment centers in the Pearl River Delta see acute labor shortages when factories resume production in February after the New Year break.
"I'm 1,000 percent sure the factories won't be able to find enough workers," said Liu Hong, a manager at the Longguan human resources market in Shenzhen, one of the region's largest. "There will be a shortage of millions," he said.
Some Chinese officials -- aware that Beijing's Communist Party leaders including Premier Wen Jiabao advocate raising rural wages to reduce income inequality and speed China's transformation into a consumption driven-economy -- seem willing to let low-margin industries wither away.
"A moderate increase in the minimum wage will bolster the momentum of industrial transformation and upgrading," Ou Zhenzhi, head of Guangdong's labor and social security bureau, was quoted as saying by the Southern Metropolis Daily in comments this month.
Growing numbers of migrant workers are also relocating out of the choked and cluttered Pearl River Delta to the eastern Yangtze River Delta, which developed later and has in recent years built high-technology industrial clusters.
"A lot of sweatshop factories will go out of business and more value-added enterprises will eventually take their place," said Crothall at the China Labor Bulletin. "It (Pearl River Delta) has got to up its game if it wants to maintain its position as China's premier employer."
(Additional reporting by Donny Kwok; Editing by Bill Tarrant and Robert Birsel)
27 January 2011
ต่างชาติขายทิ้งหุ้นไทย ไม่สนแม้ปัจจัยพื้นฐานดี
แรงขายดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลง ทดสอบฐานแนวรับหรือสร้างกรอบการแกว่งตัว 960-980 อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามการปรับตัวลงแรงและระดับดัชนีอยู่ห่าง SMA 5 วัน (วิเคราะห์ในวันที่ 24 ม.ค. 54) 1,005 จุด โอกาสในการกลับตัวขึ้นทางเทคนิคมีแนวโน้มเกิดขึ้นได้มาก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน หรือ SMA 5 วันทำให้ที่เป็นเส้นแนวต้านขาลง ดัชนียังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของขาลงดังกล่าวตามรูปแบบทางเทคนิค การไม่ผ่านยืนระดับ 1,000 จุดจึงเปรียบเสมือนว่าการปรับตัวยังไม่สิ้นสุด
ทางฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็กได้วิเคราะห์หลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและมีส่วนต่างของราคาพื้นฐาน หรือ upside สูงไว้ ดังนี้
BANPU แนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายปี"53 ที่ 860 บาท : เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมในปี"54 ด้วยวิธี P/E Ratio โดยอิง Prospective P/E ที่ 13 เท่า และ EPS ของปี"54 ที่ 66.1 บาทต่อหุ้น จะได้ราคาเหมาะสมปี"54 ที่ 860 บาท ณ ราคา 760 มี upside 13.10% ด้านเทคนิคมีแนวรับ754-750 เป็นจุดซื้อเก็งกำไรเมื่อยืนเหนือแนวต้าน 775/800
PTT แนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายปี"54 ที่ 375 บาท : เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมของ PTT ในปี"54 ด้วยวิธี P/E Ratio โดยอิง Prospective P/E ที่ 12 เท่า และคาดการณ์ EPS ในปี"54 ที่ 31.24 บาท จะได้ราคาเหมาะสมที่ 375 บาท ณ ราคา 330 มี upside 13.63%
KBANK กำไรสุทธิในปี"53 จำนวน 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากปี"52 จากการเติบโตของสินเชื่อ 14% ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรสุทธิในปี"54 จะเติบโตต่อเนื่องอีกราว 17% เป็น 2.3 หมื่นล้านบาท โดยเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของ KBANK ในการมีสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมต่ำที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาด ใหญ่ ทำให้เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 163 บาท ณ ราคา 113 มี upside 44.24%
SCB รายงานกำไรสุทธิทั้งปี"53 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% สินเชื่อเติบโต 12.6% จากปลายปี"52 ส่วนต่าง ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้นเป็น 3.6% ขณะที่คุณภาพของสินทรัพย์ปรับดีขึ้น สำหรับปี"54 เราประมาณกำไรสุทธิว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนอีกราว 6% เป็น 2.57 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้เรายังมีมุมมองที่ดีต่อปัจจัยพื้นฐานของ SCB จากการเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่จะได้ประโยชน์ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เราจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 128 บาท ณ ราคา 96 มี upside 33.33%
TOP เป็นโรงกลั่นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์มากจากการปรับโครงสร้างราคา LPG ใหม่เพราะมีกำลังการผลิต สูงสุด ปัจจุบัน TOP ผลิต LPG ได้ 18,000 ตัน/เดือน และเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 18,000 ตัน/เดือน ซึ่งจะทำให้ TOP มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 180 เป็น 700 ล้านบาท/ เดือน ส่วนผลประกอบการรวมเราคาดกำไรสุทธิปี"53 ประมาณ 8,125 ล้านบาท ลดลง 25% yoy แต่คาดว่าจะกลับมาเติบโตในปีนี้โดยเราคาดกำไรสุทธิในปี"54 ประมาณ 11,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% yoy แนะนำซื้อราคาเหมาะสมทางพื้นฐาน 82 ณ ราคา 71.25 มี upside 15.08%
วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4283 ประชาชาติธุรกิจ
3สัปดาห์ตปท.ทิ้งหุ้นไทย3หมื่นล้าน ทุบดัชนีทรุด7.5%-จับตาทุนสิงคโปร์เทขายรอบใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แรงเทขายหุ้นในฟากนักลงทุนต่างประเทศยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องจากสัปดาห์ ที่แล้ว ซึ่งจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 4-24 มกราคม 2554 ต่างชาติได้เทขายหุ้นไทยออกมาแล้ว 29,290.22 ล้านบาท ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลงตั้งแต่ต้นปี 7.55% หรือ 78.73 จุด จาก 1,042.41 จุด เมื่อวันที่ 4 มกราคม ซึ่งอยู่ที่ 963.68 จุด และยังเป็นการปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 4 เดือน นับตั้งแต่กันยายน 2553
โดย นักลงทุนเทขายหุ้นไทยมากสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน เป็นมูลค่าสัปดาห์ที่สอง 13,833.76 ล้านบาท และ 12,091.56 ล้านบาท ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 ม.ค.) พบว่าต่างชาติยัง เทขายต่อเนื่อง รวม 4,049.49 ล้านบาท
ทั้งนี้ หุ้นที่ตกเป็นเป้าหมายของการเทขายในเดือนนี้ ได้แก่หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร
หุ้น ที่ถูกเทขายอย่างหนักในช่วงนี้ ประกอบด้วยหุ้นบริษัท บ้านปู (BANPU) ที่ราคาปรับตัวลงถึง 12.6% จาก 856 บาท อยู่ที่ 748 บาท บริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ราคาลงมาถึง 28% จาก 56.25 บาท อยู่ที่ 40.50 บาท บริษัท ปตท. (PTT) ลดลง 6.1% จาก 342 บาท อยู่ที่ 321 บาท ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ลดลง 11.5% จาก 169.5 บาท อยู่ที่ 150 บาท ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ลดลง 10.79% จาก 106.5 บาท อยู่ที่ 95 บาท
นายอภินันท์ เกลียวปฎินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวว่า จากการที่นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยออกมา รวมทั้งตลาดเกิดใหม่ในแถบเอเชีย จนทำให้เห็นว่ากระแสเงินลงทุน (Fund Flow) มีการเคลื่อนย้ายออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ออกไปมาจากภาพใหญ่ เชื่อว่าจะมีการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลายประเทศในเอเชีย หลังอัตราเงินเฟ้อ ปรับตัวขึ้นมาแรงจนนโยบายดอกเบี้ยปรับขึ้นไม่ทัน
โดย การเทขายของต่างชาติมีมา ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่จะเป็นการขายอย่างหนักในตลาดหุ้นอินโดนีเซียจนทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงไป ถึง 4% และสัปดาห์นี้ก็มาขายทำกำไรและปรับพอร์ตในตลาดหุ้นไทยต่อ ซึ่งการเทขายออกมาตรงนี้ แล้วแต่มุมมองของนักลงทุนที่จะให้มูลค่าตลาดหุ้นไหนลดลง แต่ไม่ได้ถึงกับจะทิ้งหุ้นไทยไปเลย เพราะเม็ดเงินที่ต่างชาติลงทุนในไทยสูงถึง 2 ล้านล้านบาท
ขณะที่นาง ภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ กรรมการผู้จัดการ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยเทขายอย่างหนักช่วงนี้ มาจากการที่ดัชนีหุ้นไทยในปีที่ผ่านมามีการเติบโตสูงมาก เรียกได้ว่าติด 3 อันดับแรกของตลาดหุ้นโลก จึงทำให้เมื่อดัชนีสามารถยืนเหนือ 1,000 จุดได้ และค่าเงินบาท ก็แข็ง ก็ได้กำไร 2 ต่อ ทำให้เกิดการ เทขายหุ้นออกมา
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า การปรับตัวของตลาดในช่วงนี้ถือว่าลงแรงกว่าที่คาดไว้มาก โดยมองว่ามาจากการขายเพื่อทำกำไรในกลุ่มประเทศ TIP (ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์) จากที่ทำกำไรให้กับนักลงทุนค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา
นอก จากการขายทำกำไรของ นักลงทุน ยังมีปัจจัยจากความกังวลหลัง เทมาเส็กขายหุ้นไทยออกมาค่อนข้างมาก ซึ่งในเบื้องต้นไม่สามารถคาดการณ์ว่าการขายมาจากสาเหตุใด โดยยอมรับว่าเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงค่อนข้างแรง
"ถึง แม้จะมีการขายทำกำไรค่อนข้างมาก แต่แนวรับยังอยู่ที่ 950-960 จุด และยังเชื่อว่าเป้าหมายดัชนีในปีนี้จะอยู่ที่ 1,194 จุดได้ เนื่องจากความน่าสนใจของตลาดหุ้นในเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยยังคงมีอยู่" นายเทิดศักดิ์กล่าว
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หลังจากดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาสูงแล้ว และค่าเงินบาทของไทยก็แข็งค่าขึ้นมาทำสถิติสูงสุด ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ได้กำไรไปแล้ว 50% ในรูปของดอลลาร์สหรัฐ ก็จะอาศัยจังหวะนี้ขายหุ้นเพื่อปรับพอร์ตและทำกำไรของตัวเอง ซึ่งตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ มีค่าเงินแข็งค่าไปในทางเดียวกันก็ถูกเทขาย จนดัชนีปรับตัวลงรุนแรงไปก่อนหน้านี้แล้ว
"จากนี้ไป การเทขายของต่างชาติคงกินเวลาไปอีกระยะหนึ่ง เพราะเป็นเงินทุนระยะสั้น ที่พร้อมจะโยกย้ายได้ตลอด แต่สุดท้ายยังมั่นใจว่าด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจในกลุ่มเอเชียที่ไม่มีปัญหา เทียบกับอเมริกาและยุโรป กระแสเงิน จะกลับมาลงทุนต่อ ซึ่งนักลงทุนควรติดตามปัจจัยกระแสเงินลงทุนอย่างใกล้ชิด และไม่ควรใช้บัญชีมาร์จิ้นมาลงทุนทั้งหมด" นายจรัมพรกล่าว
วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4283 ประชาชาติธุรกิจ
26 January 2011
Cashing in on a China bet
Cashing in on a China bet
By Steve Hargreaves, senior writerJanuary 25, 2011: 11:30 AM ETNEW YORK (CNNMoney) -- President Hu Jintao's visit may be over, but the hype around China is not going away. As the country's economic boom continues, investors want to know how they can cash-in on this rapid growth.
One way is to buy stock in U.S. companies that have big exposure to China. But be careful -- China's ascent is not a sure bet, and analysts are divided over what types of companies will fare the best.
Ranking exposure to China isn't easy. Not all companies disclose their China sales. Others profit from exporting products from the country, an even harder number to pin down.
Among companies with manufacturing plants in China pumping out goods for the Chinese market, General Motors is one of the most exposed.
In the last 10 years GM (GM), along with a Chinese partner, has opened 15 plants there. In 2010, for the first time ever, GM sold more cars in China than it did in the United States.
Other companies operating in China and selling their goods there include consumer products companies like Procter & Gamble (PG, Fortune 500) and restaurants like Yum Brands (YUM, Fortune 500), owner of Kentucky Fried Chicken.
"These companies are going to see enormous growth," as Chinese consumers get richer, said Damien Ma, a China analyst at the Eurasia Group, a political risk consultancy.
Other companies profit from China by making goods in the U.S. and exporting them to China.
Boeing is a leader in this category. Aircraft sales totaling $5.2 billion in 2009 are the United States' second largest export to China behind soy beans, according to the U.S. International Trade Commission. Boeing (BA, Fortune 500) accounts for the lion's share of those sales.
Yet Boeing doesn't have a single manufacturing facility in China. While the company imports parts from around the world, including China, its planes are assembled in the United States.
General Electric is another big exporter to China. Power generation equipment is the United States' third largest export to China, accounting for $8.4 billion in sales in 2009. A big chunk of that is from GE (GE, Fortune 500), which makes turbines to make electricity from wind, coal and natural gas. Its jet engines also find their way into the country on Boeing planes.
On the other end of the spectrum is Wal-Mart (WMT, Fortune 500). The retailer is opening stores in China, but more importantly, it benefits hugely from goods that are made cheaply there and then shipped to the United States.
The company wouldn't say just how much it imports into the United States, but according to the activist group Wal-Mart Watch, it was $27 billion in 2006. A number outside analysts said sounded about right.
Many companies do a bit of both.
Caterpillar (CAT, Fortune 500) does a good business in China, selling excavators and other heavy equipment to the country's booming construction sector. That equipment is a mix of products produced in China and in the United States, said Stephen Volkmann, a machinery analyst at the investment bank Jefferies.
While Caterpillar does maybe a billion a year in sales in China, Volkmann said that represents less than 5% of its total sales. The Chinese, it appears, are still more attracted to lower-cost construction equipment.
The industry with the most tangled web in China is electronics. Many companies both manufacture and sell in the United States and China. This helps explain why electronic goods are both China's largest export to the United States and its largest import from the States.
Motorola (MMI) has long been doing that, said Edward Snyder, a technology analyst at Charter Equity Research.
Snyder said that at least half, if not all, of Motorola phones are made in China.
Lots of electronic work is done by contract manufacturers in China. Companies like Dell (DELL, Fortune 500) and Hewlett Packard (HPQ, Fortune 500) use these contractors to make their machines.
Other companies profit from software licenses. A big chunk of China's IT infrastructure is run on Qualcomm (QCOM, Fortune 500) technology, on which the company collects big royalties. Microsoft (MSFT, Fortune 500) is another big player in this market.
Of course, China's continued rise is not guaranteed and plenty of people are bearish about the country.
Among the dangers: a potentially disastrous real estate bubble, rising income inequality, even the threat of the country fracturing along ethnic lines.
Eurasia Group's Ma thinks the country could sink into a Japan-style cycle of slow growth and deflation if the imbalances between rich and poor are not addressed.
Still, he remains optimistic and thinks consumer products companies will prosper as the Chinese get richer and government-backed industries take on U.S. companies in sexier areas like high tech or heavy industries.
Derek Scissors, an Asia economist at the Heritage Foundation, also thinks China must deal with its inequality problem if it is going to shift from an economy supported by government spending to a more sustainable one based on consumer demand.
"They are on the wrong track," said Scissors. "The economy is growing, but the people aren't getting richer."
But he differs with Ma as to what sectors will be profitable for U.S. firms. He thinks companies like high tech and heavy industry will benefit as they sell to state-controlled enterprises, while consumer products companies will remain stymied by thin margins and rules preventing foreign dominance of the retail sector.
S. Korea’s Economic Growth Slows as Investment Slides
South Korea’s economic growth slowed as investment declined, increasing the likelihood of the central bank pausing interest-rate increases aimed at damping inflation.
Gross domestic product rose 0.5 percent in the three months through December from the previous quarter, when it advanced 0.7 percent, the Bank of Korea said in Seoul today. The median estimate of 12 economists in a Bloomberg News survey was for a 0.4 percent gain. From a year earlier, GDP increased 4.8 percent.
Investment shrank the most in two years last quarter even as inflation climbed toward the central bank’s 4 percent ceiling. The Bank of Korea next reviews policy on Feb. 11 after joining neighbors Thailand and India in raising borrowing costs this month, acting on the same day the government announced price controls.
“The slowing economy will likely make the central bank more careful about tightening rates,” said Kong Dong Rak, a fixed-income analyst at Taurus Investment & Securities Co. in Seoul. The next increase may not be until March or April as the economy will probably cool further during this quarter, he said.
The won was little changed at 1,118.75 per dollar as of 11:31 a.m. in Seoul, while the Kospi share index gained 0.8 percent, according to data compiled by Bloomberg. The won has risen 6.5 percent in the past 6 months, the third-biggest climb in Asia, threatening trade competitiveness in the export-led economy.
Investment Slides
Investment declined 3 percent in the three months through December from the third quarter, while manufacturing output fell 0.7 percent. The economy expanded 6.1 percent for last year as a whole, the fastest pace since 2002.
“The contraction in investment activity is a warning sign, although coming after a string of gains it still leaves the year-on-year growth rate pretty high,” said Dariusz Kowalczyk, a Hong-Kong based economist at Credit Agricole CIB.
Average inflation accelerated to 3.6 percent in the fourth quarter. President Lee Myung Bak declared “war” on consumer price growth this month, saying it must be contained at 3 percent to protect families on low incomes.
Consumer confidence in January declined for a second straight month while the expected inflation rate over the next year rose to an 18-month high of 3.7 percent, the central bank said in a separate report.
The economy probably won’t slow “quickly” in coming months, Jung Yung Taek, head of the national income team at the Bank of Korea, told reporters in Seoul today.
Rate Increases
Governor Kim Choong Soo and the policy board raised borrowing costs by a quarter of a percentage point to 2.75 percent on Jan. 13, following increases of the same amount from a record low in July and November.
The government announced plans the same day to reduce import tariffs on some food items and freeze the cost of utilities, including electricity and gas. The administration also said it will ask steelmakers to refrain from raising prices.
The central bank’s base rate has remained below inflation for a record 14 straight months, threatening to skew incentives in favor of spending rather than saving.
Some regional counterparts have moved rates up more aggressively to battle rising energy and food prices, with India boosting its benchmark to a two-year high yesterday and signaling further increases.
Foreign Capital
“The economy is slowing, but not at a rate that should be of concern,” said Park Sang Hyun, chief economist at HI Investment & Securities Co. in Seoul. “The central bank may want to raise interest rates again in February as inflation pressures are still growing despite this month’s surprise move.”
Higher rates may drive up the won by attracting more foreign capital seeking better yields. South Korea has joined emerging markets from Brazil to Turkey in striving to counter the inflows after reviving taxes on overseas investors in domestic government bonds and tightening scrutiny of trading in foreign-currency derivatives.
Overseas shipments boosted growth last year, with exports rising for a 14th consecutive month in December in an economy where they are equivalent to about half of GDP. Global demand helped earnings in 2010 at companies including Samsung Electronics Co., Asia’s biggest maker of semiconductors, flat screens and mobile phones.
The recovery in the U.S. economy may lead the central bank to increase its forecast for South Korean expansion this year from the current estimate of 4.5 percent, Kim said on Jan. 19.
Growth in the Chinese economy, South Korea’s biggest export market, accelerated to 9.8 percent in the fourth quarter, increasing concern that China’s policy makers will raise interest rates again to curb inflation and stem the expansion.
Today’s report signals “less urgency” to curb domestic demand with higher rates, though an increase of half a percentage point over the rest of 2011 is likely as the Bank of Korea seems focused on inflation, Credit Agricole’s Kowalczyk said.
To contact the reporters on this story: Eunkyung Seo in Seoul at eseo3@bloomberg.net
To contact the editor responsible for this story: Paul Panckhurst at ppanckhurst@bloomberg.net
www.bloomberg.com
China ups minimum wages, as inflation persists
By ELAINE KURTENBACH, AP Business Writer Elaine Kurtenbach, Ap Business Writer Tue Jan 25, 11:16 pm ET
SHANGHAI – Many Chinese cities are raising minimum wages for workers, fanning inflationary pressures while also seeking to soothe frustrations over price hikes.
The double-digit increases in major manufacturing centers like Guangdong, and the cities of Shanghai, Tianjin and Beijing follow wage hikes last year that have further raised labor costs, accelerating a shift by makers of inexpensive goods to lower cost places like Vietnam and Indonesia.
Shortages of workers in some areas and strikes and other protests by disgruntled young workers have also prompted authorities to push minimum wages higher, with most localities expected to follow suit.
A report released last week by the American Chamber of Commerce in Shanghai said that 85 of the companies responding believed that rising costs are hurting China's competitiveness compared with other developing countries.
China retains massive advantages such as the standard of its infrastructure and its own huge market, which increasingly is the focus of foreign companies manufacturing there. But surging costs for labor, land, energy and materials have prompted many making low-cost items such as toys, shoes and clothing to move some production to other parts of the developing world.
Tianjin's labor bureau, in a statement seen Wednesday on its website, said it is preparing to raise the city's minimum monthly wage to 1,070 yuan ($160) from the current 920 yuan ($140).
Shanghai's mayor, Han Zheng, confirmed last week that the city was preparing for an April 1 increase in the city's minimum wage, by more than 10 percent over the current monthly 1,120 yuan ($170).
Han described this as an effective way to ensure a "rational income distribution."
"It is our responsibility to raise wages in Shanghai because people living on those wages are having a really hard time," he told reporters during an annual news conference. "It is important for every worker to share the fruits of progress and harmonious labor relations are conducive to healthy businesses," he said.
Beijing has announced its minimum wage will rise by 20.8 percent this year. Jiangsu, an affluent region adjacent to Shanghai, is hiking its minimum monthly pay by 15 percent and Guangdong, by about 19 percent in March to 1,300 yuan (about $200) — the country's highest.
Mindful of past links between surging inflation and political unrest, the authorities have sought to reassure consumers that they have prices under control.
China's inflation rate was at 4.6 percent in December, down from a 28-month high of 5.1 percent the month before but well above the government's target of 3 percent. Annual inflation in 2010 was 3.3 percent, and many economists are warning that price hikes may persist in coming months, especially if recent bad weather keeps food prices above normal.
Asked if rising costs might discourage companies from investing in places like Shanghai, Han said he believed companies focus more on the local investment environment and their own business strategies than on labor costs.
"If the companies cannot afford such increases it means their business model is not suitable for the development pattern in Shanghai," he said.
ศก.เกาหลีใต้ โตสุดในรอบ 8 ปี
เอเอฟพีรายงานว่า ธนาคารกลางแดนโสมขาวระบุในแถลงการณ์ว่า "ในปี 2553 การฟื้นตัวของภาคเอกชนนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของดีมานด์ภายในประเทศ"
การเติบโตในไตรมาสสี่อยู่ที่ 0.5% ต่ำกว่าไตรมาสสามซึ่งอยู่ที่ 0.7% ซึ่งทางธนาคารกลางชี้ว่า "เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสาม ภาคการผลิตและการก่อสร้างมีสัญญาณชะลอตัว เช่นเดียวกับการบริโภคของภาคเอกชน แต่การส่งออกกลับเติบโตสูงขึ้น"
และยังวิเคราะห์ว่า การเติบโตที่ลดลงในไตรมาสสี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการกลับสู่สภาวะปรกติ โดยคาดว่าโมเมนตัมการเติบโตจะยังคงดำเนินต่อไปในปีนี้ "จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ขับเคลื่อนโดยการบริโภคภายใน ประเทศ ขณะที่การส่งออกเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง"
ทั้งนี้การเติบโตต่อปีของแดนกิมจิเคยพุ่งสูง 7.2% ในปี 2545
วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 13:19:14 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
หุ้นไทยปิดตลาดดีดกลับ บวก 18 จุด ซื้อ-ขาย 3.4 หมื่นล้าน ต่างชาติซื้อสุทธิ 396 ล้าน
สรุปการซื้อขาย ณ วันที่ 26 ม.ค. 2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
หน่วย: ล้านบาท
|
วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 17:04:10 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ |
จีนขึ้นค่าแรง บรรเทาพิษเงินเฟ้อ
เอพีรายงานว่า การปรับค่าจ้างแรงงานในเมืองศูนย์กลางการผลิตอย่างกวางตุ้ง และเมืองศูนย์กลางธุรกิจเซี่ยงไฮ้ เทียนจินและปักกิ่ง มีขึ้นหลังการขึ้นค่าจ้างเมื่อปีกลายซึ่งยิ่งกระตุ้นให้ผู้ผลิตสินค้าราคา ถูกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนค่าแรงต่ำกว่าอย่าง เวียดนามหรืออินโดนีเซีย
การขาดแคลนแรงงานในบางพื้นที่ การนัดหยุดงาน และการประท้วงของแรงงานหนุ่มสาว กดดันให้ทางการต้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้สูงขึ้น และมีแนวโน้มว่าเมืองอื่นๆ จะดำเนินรอยตาม
สำนักแรงงานเทียนจินระบุในแถลงการณ์ว่า เตรียมขึ้นค่าจ้างแรงงานจาก 920 หยวน (140 ดอลลาร์) เป็น 1,070 หยวน (160 ดอลลาร์) ส่วนเซี่ยงไฮ้จะขึ้นค่าแรงอีก 10% จากระดับ 1,120 หยวน (170 ดอลลาร์) โดยจะมีผล 1 เมษายนนี้ ส่วนปักกิ่งขึ้น 20.8% กวางตุ้งจะเพิ่ม 19 % ในเดือนมีนาคมเป็น 1,300 หยวน (200 ดอลลาร์)
จากรายงานที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของหอการค้าอเมริกาในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของ 85 บริษัทชี้ว่า การขึ้นค่าแรงจะลดศักยภาพในการแข่งขันของแดนมังกรเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศ กำลังพัฒนาด้วยกัน
Billionaire Ho Demands Return of Macau Casino Stake
Billionaire Stanley Ho demanded family members return the bulk of his Macau casino fortune by tomorrow or face legal action as an ownership dispute threatens to split Asia’s biggest gambling empire.
The transfer of most of Ho’s assets to six family members, disclosed in a Jan. 24 statement, was done without his consent, and the 89-year-old patriarch gave his lawyers “very clear” instructions to recover them, Gordon Oldham, senior partner at law firm Oldham, Li & Nie, said yesterday. The disagreement took another turn today when Oldham rejected family statements that everything was settled and he was being dismissed. He said he was still acting on Ho’s instructions.
Ho’s SJM Holdings Ltd. slid as much as 8.8 percent in Hong Kong trading as the family squabbled over control of a gaming business that the casino magnate, who has sired 17 children by four women, spent five decades building. SJM, with a market value of $9.7 billion as of yesterday, runs most of the casinos in the Chinese city of Macau, where gambling revenue is four times that of the Las Vegas Strip.
“The market’s puzzling about the whole thing, and it’s starting to feel like we’re watching a TV drama,” said Victor Yip, a Hong Kong-based analyst at UOB-Kay Hian Ltd. “No one knows the final outcome. Many investors will be profit-taking in the short term.”
Equal Division
Ho may take legal action to keep his 31.7 percent stake in Sociedade de Turismo e Diversoes de Macau, S.A., which represents the majority of the value of his assets, Oldham said. The transfer of STDM assets to the woman he refers to as his third wife and five of his children, announced Jan. 24, went against his wishes to divide them equally among his family, Oldham said.
The disputed stake was worth at least $1.67 billion according to Bloomberg calculations using SJM’s closing stock price yesterday. The shares traded at HK$13.08, down by 5.2 percent, at the noon trading break in Hong Kong.
STDM owns 56 percent of SJM, according to data compiled by Bloomberg. The market value of SJM, which has the biggest gambling share in the former Portuguese colony, has surged more than fourfold since its initial public offering in 2008.
‘Squabbling and Pinching’
“What really upsets him is that he’s not even dead yet, but in the twilight of his life his second and third families appear to be squabbling and pinching it for themselves,” Oldham said yesterday.
In his office, Oldham showed stills from a video of himself chatting with Ho, who wore a powder blue zip-up sweater, had his gray hair brushed back and sat next to current companion Angela Leong. The video was made yesterday at Ho’s home and showed the magnate “has all his faculties,” Oldham said.
Ho was hospitalized in August 2009 after an accident and underwent at least two surgeries during a seven-month stay.
Brunswick Group LLP, the public-relations company representing some family members, said yesterday that Ho gave written authorization for the transfer of his stake in STDM.
The billionaire, who built his business empire after fleeing to Macau from Hong Kong ahead of the Japanese army in World War II, started shifting assets after leaving the hospital.
Handwritten Letter
Ho “has been the central foundation” of the family’s business empire as he resisted the breakup of his monopoly for four decades, said Andrew Sullivan, director of institutional sales at OSK Securities Hong Kong Ltd.
“He was the one holding it together,” Sullivan said by phone today. “In the past everyone has had to defer to him. The key thing is knowing what the new reality is -- who is running the key bits of the business.”
Brunswick later produced a printed document on Ho’s letterhead and a handwritten letter, both of which appear to bear his signature, which said he is firing Oldham and keeping the originally announced allocation of shares in the family vehicle Lanceford Co. as “100 percent” his intention.
The document said Ho’s giving Chan Un-chan, whom he calls his third wife, “full authority” in this matter, and that any documents with his signature proposing changes to the share allocations are “definitely not genuine.”
Clear Instructions
Oldham said today he’s proceeding with Ho’s instructions and hasn’t heard from the billionaire since the statements were issued. “If this is not resolved, we’ll be in the high court tomorrow, if not today,” he said.
Chan Un-chan and children Pansy, Daisy, Maisy, Josie and Lawrence took control of Lanceford, which holds the biggest stake in STDM, according to statements from SJM and Brunswick.
The five children are by the woman Stanley Ho refers to as his second wife, Lucina Laam King-ying.
“My instructions were very clear,” Oldham said. “He said: Get me Lanceford back.”
Brunswick yesterday released a copy of a letter dated Jan. 7 that it said was from Daisy to her father in which she refers to a “misunderstanding” that “has been cleared up.”
“The share allocation at Lanceford was done in accordance with your instructions,” the letter said.
It had a note at the bottom with Stanley Ho’s signature acknowledging he handed over the STDM shares.
Lisboa, Venetian
The letter was a response to Stanley Ho’s demand for an explanation, Brunswick said in an e-mailed statement. Cyndi Tang, a Shun Tak employee, referred queries for Pansy Ho to Brunswick.
Lawrence Ho, chairman of Melco International Development Ltd., had no comment, said spokeswoman Maggie Ma.
The tussle poses “a big problem” for SJM and its 20 casinos, said Kenny Tang, executive director at Redford Assets Management. The Lisboa casino competes with Sands China Ltd.’s Venetian Macao in a city whose gambling revenue is more than double that of Nevada’s.
“If the fights for control don’t stop, the company can’t make any major decisions for long-term development,” he said.
Ho, born into a prosperous Eurasian family in 1921, traded kerosene and airplanes after fleeing to Macau, and at one point fought off pirates, said Joe Studwell, author of “Asian Godfathers: Money and Power in Hong Kong and Southeast Asia.”
He lured bettors into smoke-filled halls with fading paint and worn carpets after Macau’s colonial government in 1962 granted him and his partners a gambling monopoly over the 10- square-mile territory, which is one hour by ferry from Hong Kong. Gangs fought to run VIP rooms for high-stakes gamblers as prostitutes and loan sharks patrolled casino doors.
STDM generated 75 percent of Macau’s tax revenue each year before China took control in 1999 and used its army to calm the violence.
The Macau government ended Stanley Ho’s monopoly in 2004, allowing the entry of operators such as billionaire Sheldon Adelson’s Las Vegas Sands Corp. Ho was ranked Hong Kong’s 13th- richest man, with a net worth of $3.1 billion, by Forbes magazine this month.
To contact the reporters on this story: Debra Mao in Hong Kong at dmao5@bloomberg.net; William Mellor at wmellor@bloomberg.net
To contact the editor responsible for this story: Frank Longid at flongid@bloomberg.net
www.bloomberg.comมาร์เก็ตแคปวูบ 5.7 หมื่นล้าน ต่างชาติทุบหุ้นไทยฉุดต่ำสุดรอบ 4 เดือน
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา เกิดความผันผวนสูงนับตั้งแต่ต้นปี ดัชนีปรับตัวลง 7.9% หรือ 83.24 จุดจาก 1,042.41 จุด (4 ม.ค.) ลงมาอยู่ที่ 959.17 จุด (25 ม.ค.) ซึ่งลดลงต่ำสุดในรอบ 4 เดือน นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 ขณะที่มูลค่าราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ลดลง 5.7 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ 8.33 ล้านล้านบาท ปัจจุบัน(25 ม.ค.) เหลืออยู่ที่ 7.761 ล้านล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการกลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า หากนับยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่สะสมมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์การ เมืองไทยสงบ (16 มิ.ย. 53) จนถึงสิ้นปี�53 มียอดสะสม 100,000 ล้านบาท หากหักยอดซื้อรายการบิ๊กลอต (ถือเป็นการร่วมทุน) ของนักลงทุนต่างชาติ ที่มีจำนวน 47,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เป็นการซื้อขายรายวัน และหักยอดขายสุทธิของต้นปีนี้ ที่มีอยู่ประมาณ 30,000 ล้านบาท จะทำให้ขณะนี้ยอดซื้อสุทธิของต่างชาติเหลืออยู่ประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท จึงเชื่อว่าแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเหลืออีกไม่มากแล้ว
ทั้งนี้ เม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามาซื้อเพื่อร่วมทุน ที่เป็นรายการบิ๊กลอตเมื่อช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว จะมี 4 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้แก่ บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH), บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC), บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) และ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH)
อย่างไรก็ตาม การเทขายทำกำไรของต่างชาติในรอบนี้ เนื่องจากมีความกังวลต่อปัจจัยเงินเฟ้อในหลายประเทศแถบเอเชีย โดยมีข้อน่าสังเกตว่า การเทขายครั้งนี้ มีหุ้นกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหารที่ปรับตัวลง 8% ทั้ง ๆ ที่เป็นกลุ่มหุ้นที่ควรจะได้รับอานิสงส์การปรับราคาสินค้าขึ้นจากปัญหาเงิน เฟ้อ จึงมองว่าการเทขายของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้ไม่ได้สอดคล้องกับปัจจัยพื้น ฐาน อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าปัญหาเงินเฟ้อที่กดดันตลาดหุ้นอยู่ในปัจจุบัน ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะสามารถดูแลผ่านนโยบายการเงินได้ แต่ก็ยังมีปัญหาการเมืองในไทย ที่เป็นอีกประเทศที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหนักในรอบนี้เช่นกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไล่ขายหุ้นในตลาดหุ้นเกิดใหม่ไปแล้ว
รายงานข่าวบนเว็บไซต์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า เครดิตสวิสกรุ๊ปเอจีแนะนำนักลงทุน "ซื้อ" หุ้นไทย เนื่องจากดัชนีปรับลดลงมากที่สุด นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 และคาดการณ์ว่าแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะยังคงออกมาดี และเป็นปัจจัยกระตุ้นภาวะกระทิง
สำหรับประเด็นการเมืองไทยในปีนี้ค่อนข้างดีกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าการยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ซึ่งซีกรัฐบาลน่าจะสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนด้วยการชนะการเลือกตั้ง ขณะที่สถานการณ์ชุมนุมไม่น่าจะบานปลาย จึงเป็นเหตุผลที่ว่าควรถือหุ้นมากกว่าที่จะเทขาย
วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 09:15:19 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
25 January 2011
Buy Thai Stocks After Recent Drop, Credit Suisse Says
Investors should buy Thai stocks after the benchmark index fell the most in 15 months, as an improving political outlook and better earnings prospects outweigh inflation concerns, Credit Suisse Group AG said.
The SET Index lost 4.3 percent yesterday, the steepest decline since October 2009, as nationalist protestors said they will rally “indefinitely” in Bangkok. The gauge has tumbled 9 percent since reaching a 14-year high on Jan. 6, joining regional neighbors from India to Indonesia in slumping from recent peaks on concern consumer price gains will accelerate.
Thailand has suffered primarily due to a sell-off of South and Southeast Asian markets in general and investors have not properly distinguished between markets,” analysts Dan Fineman and Siriporn Sothikul wrote in a report today. “Politics should be a positive catalyst this year, rather than a reason to cut holdings, and the early indications on earnings are bullish.”
Benchmark indexes in India, Indonesia, the Philippines and China are among emerging markets that have retreated more than 10 percent from their recent highs as concern grew that faster inflation will spur higher borrowing costs and curb consumer spending. The SET index dropped 0.7 percent to 956.94 at 10:39 a.m., a fourth day of declines and heading for the lowest close since Sept. 24.
“We believe the inflation outlook in Thailand is less worrisome than in neighboring markets,” the analysts said, adding they remain “overweight” on the country’s equities. The “best bottom-fishing opportunities” are in property, banks and tourism-related stocks, they wrote.
Inflation Rate
The Bank of Thailand raised its benchmark rate for the fourth time in seven months to 2.25 percent this month and signaled it will boost borrowing costs further as inflation risks heighten. Thailand’s inflation rate may range from 2.5 percent to 4.5 percent this year, central bank Assistant Governor Paiboon Kittisrikangwan said Jan. 21.
Higher-than-expected profit of banks have also gotten the earnings season off to “a good start”, according to Credit Suisse’s report.
Kasikornbank Pcl, the nation’s third-biggest lender, and Siam Commercial Bank Pcl, the fourth largest, last week announced fourth-quarter net income that exceeded analysts’ estimates.
Nationalist protesters will rally “indefinitely” starting today near Prime Minister Abhisit Vejjajiva’s Bangkok office to pressure him into taking stronger action in a border dispute with neighboring Cambodia.
The People’s Alliance for Democracy, which mobilized tens of thousands of people when it seized Bangkok’s airport for eight days in 2008, is demanding Abhisit revokes a border agreement with Cambodia that they say cedes territory to a neighbor.
“We still see a good chance for elections as early as April-May and expect the government to surprise the market with its margin of victory,” Credit Suisse said.
-- Editors: Richard Frost, Reinie Booysen
To contact the reporter on this story: Anuchit Nguyen in Bangkok at anguyen@bloomberg.net
To contact the editor responsible for this story: Darren Boey at dboey@bloomberg.net
www.bloomberg.com21 January 2011
China's economy grew 10.3% in 2010
China's gross domestic product (GDP) grew a faster-than-expected 10.3% in 2010, official statistics show.
Growth figures for the fourth quarter also defied expectations of a slowdown, rising to 9.8% from 9.6%.
But inflation eased to 4.6% in December from a 28-month high of 5.1% the month before, as food price pressures waned. Inflation for 2010 as a whole was 3.3%.
Aware of the unrest sparked by past periods of high inflation, China's leaders make curbing it a priority.
Rising pricesThey have raised interest rates twice in the past four months and raised banks' required reserves in a bid to control food and housing costs.
Analysts say the apparent easing of inflation reflects a relatively high base figure recorded in December the year before, and that the government needs to do more.
The December inflation figure was higher than markets had anticipated, as was fourth quarter growth.
The huge sums of money pumped into the world's second largest economy by state-run banks are hindering moves to bring inflation under control, they add.
However, Ma Jianting, head of the National Bureau of Statistics, reiterated the Communist Party line that inflation was being fuelled by overly loose monetary policy in developed countries.
Dongming Xie, of OCBC Bank in Singapore, told the Reuters news agency: "Growth momentum remains strong. However, inflation is the key focus of the market. It will be a challenging year for China to battle inflation.
"December inflation is higher than our expectations. Food prices continued to go up in the first half of this month due to seasonal demand," he added.
Tightening measuresFollowing the data release, short term market interest rates shot up almost 2%, while share prices on the Shanghai stock exchange fell 3%.
Market participants fear that the strong data will increase the authorities' determination to cool the economy in the near future.
The People's Bank of China has so far shied away from raising interest rates quickly - despite surging inflation - because of the pain it would cause to existing lenders.
Instead, the central bank has relied mainly on raising banks' reserve requirements in order to curb the volume of lending.
Continue reading the main storyUS Dollar v Chinese Yuan
Last Updated at 28 Jan 2011, 07:20 GMT$1 buys | change | % |
---|---|---|
6.5856 | - -0.00 | - -0.01 |
The central bank did so for the seventh time on Thursday, a day after it set a tough new quarterly lending quota for the main state banks.
But this approach did not stop banks overshooting the official 7.5bn yuan lending cap for 2010 by an estimated 45%.
A rise in the state-controlled exchange rate may also be another tool to slow down the economy, although analysts only expect Beijing to allow a 5% appreciation this year.
The yuan has strengthened 0.8% against the dollar in recent days, although this may be politically motivated to coincide with President Hu Jintao's visit to the US.
Rebalancing actThe inflation and growth data were officially published by the National Bureau of Statistics on Thursday, although they had been leaked a day early by Hong Kong-based Phoenix television.
Investment in construction and other fixed assets rose 23.8% in 2010, with the biggest state-controlled commercial lenders giving out $36.4bn in new loans, much of it for property development.
Sales of land-use rights to developers increased by 70% last year, helping property prices rise 6.4% compared with 2009.
Industrial output meanwhile rose strongly in 2010, suggesting there is growing demand again for Chinese-made goods.
In a more encouraging sign, retail sales rose by an inflation-adjusted 14.8% during the year.
Consumption in China absorbs a worryingly low proportion of economic output, with a much bigger share used up in investment.
Economists say that in order for the economy to rebalance smoothly, consumption will need to grow much more quickly than the overall growth level for many years.
06 January 2011
Palm oil import plan approved
However the government will not increase the Oil Fund diesel subsidy allocation above the current five billion bath, intended to the keep the price below 30 baht a litre.
The Public Warehouse Organisation would import the palm oil and allocate it to cooking oil manufacturers. The panel set a condition that the import s be completed in January because the domestic crop is expected to enter the market in February and March, said Mr Apichart.
Internal Trade Department director-general Vatchari Vimooktayon said the vegetable oil price sub-committee will meet this Friday to consider approving an increase in the price of a one litre bottle of palm cooking oil.
“The retail price of palm oil is likely to increase by nine baht to 47 baht a bottle, from the current 38 baht,” she said.
An increase in the retail price will help settle the current palm oil shortage problem, she said.
Commerce Ministry officials have said they suspect some suppliers are hoarding palm oil to drive up the local price. Palm oil is also used in production of biodiesel.
Energy Minister Wannarat Channukul said his ministry will not increase the five billion baht allocated as a subsidy from the state Oil Fund to rein in rising diesel prices.
Mr Wannarat said the Finance and Energy ministries will seek additional measures to keep the retail price of diesel from going over 30 baht a litre once the allocated five billion baht from the Oil Fund is used up.
The government would also not discontinue the sale of 91 octane petrol yet because people with older cars still need it.
"About eight million litres of 91 octane petrol are being used each day, but we expect to stop selling it in the next two to three years," the minister said.
http://www.bangkokpost.com/business/economics/214761/palm-oil-import-plan-approved